วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ธารทิพย์ เพชระบูรณิน หายจากโรคมะเร็งเม็ดเลือดแดง ไขมันในเส้นเลือดสูง ไทรอยด์ ก้อนแคลเซี่ยมที่เต้านม สายตาบกพร่อง...

ปัจจุบันข้าพเจ้าเป็นข้าราชการบำนาญ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้รับการบำบัดโรคด้วยจิต โดยการใช้พลังพระพุทธคุณขององค์ท่านปู่พระชัยบารมี และได้รับการดุแลจากท่านปู่ยมและท่านอาจารย์ พ.ต.ท.เขียว บารมี

ข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวหลายอย่าง จากการตรวจของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกทม. เช่น เป็นมะเร็งเม็ดเลือดแดง ไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์ ก้อนแคลเซี่ยมที่เต้านม สายตาบกพร่อง และมีอีกหลายโรคที่หมอตรวจไม่เจอ ข้าพเจ้าไปหาหมอทุก 3 เดือนเป็นเวลา 30 ปี กินแต่ยาตามที่หมอสั่ง อาการไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรงกับทรุด ร่างกายซูบซีด ผิวพรรณเหลือง-เขียวคล้ำเป็นจ้ำๆ เหี่ยวย่น ไม่มีสีเลือดเลย มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หายใจไม่ปกติ ข้าพเจ้ารู้ว่าโรคที่ข้าพเจ้าเป็นนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในโลกมนุษย์ปัจจุบันนี้ นอกจากมีสิ่งปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยข้าพเจ้าได้

เมื่อข้าพเจ้าได้เจอท่านปู่พระชัยบารมี ท่านปู่ยม และท่านอาจารเขียว บารมี ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีหวังที่มีพระมาโปรด ท่านปู่ได้สแกน(ตรวจดู)ร่างกายของข้าพเจ้าก่อนเข้ารับการทำสมาธิจิตบำบัดด้วยจิตของท่าน และท่านได้บอกโรคทุกโรคที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่นอกเหนือจากการตรวจของหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งยังมีโรคหัวใจ มะเร็งในสมอง เป็นต้น จากนั้นท่านปู่ยมได้ทำการบำบัดโรคทุกชนิดในตัวข้าพเจ้าด้วยวิธีของท่าน ระหว่างรับการทำสมาธิจิตบำบัดข้าพเจ้าไม่ได้กินยาที่หมอให้ไว้ หลังจากการบำบัดข้าพเจ้าได้ไปหาหมอตรวจอีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าโรคทุกชนิดหายหมด ข้าพเจ้ามีหน้าตา ผิวพรรณสดใสดีขึ้นมาก ฝ่ามือที่เคยซีดเซียวกลับมีสีเลือดขึ้นบนฝ่ามือ ร่างกายแข็งแรงไม่มีอาการอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายเหมือนแต่ก่อน ร่างกายก็อ้วนท้วนขึ้นมีเนื้อกระชับสมส่วน เวลาเดินก็คล่องแคล่ว ซึ่งสภาพร่างกายและความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นตัวชี้วัด บอกให้รู้ว่าร่างกายของข้าพเจ้ากลับคืนเข้าสู่สภาวะปกติ และเป็นการชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ด้วยพุทธานุภาพขององค์ท่านปู่พระชัยบารมี ท่านปู่ยมและท่านอาจารย์ พ.ต.ท.เขียว บารมี นับว่าเป็นบุญอย่างมากของข้าพเจ้าที่ได้มาเจอท่าน ไม่เช่นนั้นชีวิตของข้าพเจ้าคงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากจนกว่าจะหมดลมหายใจ

ข้าพเจ้าขอสรุปว่าการจะเข้ารับการบำบัดโรคทุกชนิดด้วยจิตจากท่านปู่ ต้องมีความศรัทธาเชื่อและเปิดใจให้หมดเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โรคทุกชนิดก็หายไปอย่างมหัศจรรย์ ซึ่งหมอในโลกมนุษย์ปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้

สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอน้อมกราบนมัสการองค์ปู่พระชัยบารมี ท่านปู่ยมพร้อมทั้งคณะฯและท่านอาจารย์พ.ต.ท.เขียว บารมี มา ณ ที่นี้ด้วยความเคารพรักและนับถืออย่างสูงในความมีเมตตาของท่านต่อข้าพเจ้าซึ่งจะจดจำไปกระทั่งจนถึงวันตาย

ธารทิพย์ เพชระบูรณิน รายงาน

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติพระชัยบารมี ตอน ถูกรุมต่อว่าและตำหนิ

ตอน ถูกรุมต่อว่าและตำหนิ
การดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นไปตามโลกธรรมแปด มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ ท่านอาจารย์เขียวก็ไม่มียกเว้น ท่านได้เล่าเรื่องที่ท่านเคยโดนตำหนิให้ข้าพเจ้าฟัง ดังนี้ว่า...
ครั้งหนึ่งราวปี2543 เมื่อได้รับเชิญให้ไปทำโครงการ “สร้างภูมิคุ้มกันต้านยาเสพติด” จากผู้อำนวยการโรงเรียนหนองหิ้งพิทยา หมู่ที่ 16 ถนนเซกา-บ้านแพง ตำบลท่ากกแดง อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย 43150 เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า 9.00 น ถึง 12.00 น. และช่วงบ่ายเริ่ม 13.00 น.ถึง 16.00 น. มีนักเรียนมัธยมเข้าโครงการทั้งหมดทั้งโรงเรียน เมื่อเสร็จดำเนินการช่วงเช้าแล้ว จึงได้ให้นักเรียนพักเที่ยงเพื่อรับประทานอาหาร แต่มีนักเรียนหญิงหนึ่งรายไม่สามารถลุกขึ้นมารับประทานอาหารได้ ไม่สามารถขยับร่างกาย มีอาการตัวแข็ง ท่านอาจารย์เขียวได้แจ้งให้คณะครูอาจารย์และเพื่อนนักเรียนของนักเรียนหญิงผู้นั้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะบารมีของปู่พระชัยบารมี ท่านกำลังบำบัดให้ เด็กคนนี้น่าจะมีโรคร้ายแรง” ท่านอาจารย์เขียวจึงได้สอบถามครูประจำชั้น ก็ได้รับการตอบยืนยันว่า “จริง” เป็นโรคโลหิตจาง และความดันต่ำ เคยเข้าไปที่ธนาคาร เมื่อเด็กนักเรียนผู้นี้กระทบความเย็น ถึงกับเป็นลมและช็อคไป


ครั้นตอน 13.00 น. ก็เริ่มพิธีการตามโครงการต่อจนถึงเวลา 16.00 น. แล้วเลิก นักเรียนแยกย้ายกันกลับบ้าน สำหรับเด็กนักเรียนหญิงรายดังกล่าว ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ ท่านอาจารย์เขียวก็ได้ชี้แจงให้คณะครูอาจารย์โดยวิธีการสอบถามเด็กนักเรียนหญิง ซึ่งยังนอนหลับตาอยู่ และลุกไม่ขึ้นในขณะนั้นดังนี้

อาจารย์เขียวถาม “หนูได้ยินเสียงและรู้สึกตัวหรือไม่ ให้ตอบโดยการพยักหน้า” เด็กก็พยักหน้าตอบ
อาจารย์เขียวถาม “หนูหิวข้าวหรือไม่” เด็กตอบโดยการส่ายหน้าไปมาหลายครั้ง ซึ่งหมายถึงไม่หิว
อาจารย์เขียวถาม “หนูต้องการบำบัดต่อให้หายหรือไม่” เด็กพยักหน้าหลายครั้ง ซึ่งหมายถึงเธอต้องการรักษาต่อให้หาย
ท่านอาจารย์เขียวได้พูดกับเธอต่อไปว่า “อนุญาตให้ออกเสียงได้ โดยไม่ต้องลืมตา” เด็กก็ตอบว่า “ต้องการค่ะ”

คณะครูอาจารย์และเพื่อนนักเรียนที่เฝ้าอยู่เข้าใจและดีใจที่เธอพูดออกมาได้ ในขณะนั้นร่างกายของเธอเริ่มมีเหงื่อออก ขณะเดียวกัน เพื่อนของนักเรียนหญิงได้ไปแจ้งแก่แม่ของเธอว่า ลูกสาวของแม่ยังไม่เสร็จ นอนทั้งวันเลย... เกือบค่ำแล้วแม่ของเธอเป็นห่วงจึงได้เดินทางมาที่โรงเรียนพร้อมกับลูกสาวอีกคน ซึ่งเป็นพี่สาวของเธอ ทั้งสองคนมองเห็นเธอนอนอยู่อย่างนั้น ยังมิได้ทันได้สอบถามอะไร ก็ได้เริ่มต่อว่าท่านอาจารย์เขียวทันทีว่า “ทำไมลูกสาวของฉันจึงเป็นแบบนี้ ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน...(ขอสงวน)...” ท่านอาจารย์เขียวยังไม่ทันได้กล่าวตอบ พอดีนักเรียนหญิงคนนั้นก็ได้ลุกขึ้นและอธิบายให้แม่และพี่สาวฟังว่า “หนูป่วยมานานแล้วแม่และพี่ก็รู้ดี”

เธอพูดต่อ “ที่ใครๆพูดและตำหนิอาจารย์เขียว หนูได้ยินหมด แต่ไม่สามารถพูดและลืมตาได้ เพราะปู่พระชัยบารมีกำลังบำบัดโรคให้” เธอกล่าวต่ออีกว่า “ตั้งแต่เที่ยงจนกระทั่งเวลานี้ หนูยังไม่รู้สึกหิวเลย อาการที่หนูป่วย รู้สึกว่าน่าจะหายแล้ว เพราะขณะที่หนูนอนอยู่นั้น คล้ายเหมือนถูกผ่าตัดภายในร่างกาย มีอาการชาไปที่บริเวณท้องและร่างกาย แต่ไม่รู้สึกเจ็บ ปกติหนูไม่ค่อยมีเหงื่อ แต่ขณะนี้มีเหงื่อออกมากซึมออกมามากเปียกเสื้อผ้าหมด” ซึ่งทุกคนก็เห็น เธอกล่าวต่อไปว่า “ขอให้แม่และพี่(สาว)ขอขมาโทษต่ออาจารย์เขียวและขอบคุณผู้อำนวยการกับคณะครูอาจารย์ที่ให้มีกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งเหมือนชุบชีวิตใหม่ให้หนู หนูไม่มีอาการเจ็บอีกแล้ว” พอเธอพูดจบ ทั้งแม่และพี่สาวของเธอได้กล่าวขอขมาต่อพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” กล่าวคำขอโทษและกล่าวคำขอบคุณท่านอาจารย์เขียว ผู้อำนวยการและคณะครูอาจารย์ก่อนจะพาเธอกลับบ้าน

โปรดติดตามตอนต่อไป...

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประวัติพระชัยบารมี ตอน อัญเชิญพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” แก้ปัญหายาเสพติด

ตอน อัญเชิญพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” แก้ปัญหายาเสพติด
ต่อจากตอนที่แล้ว...
เมื่อท่านอาจารย์เขียวกลับจากลาพักผ่อน ได้ประชุมวางแผนนโยบายร่วมกับข้าราชการตำรวจชุดชุมชนมวลชนสัมพันธ์(ชมส.)ของสภ.อ.ศรีเชียงใหม่ และชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติด วางแผนนโยบาย เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่รับผิดชอบของสภ.อ.ศรีเชียงใหม่จ.หนองคาย โดยให้ถือว่า “ผู้เสพคือผู้ป่วย” ผู้ค้าหรือผู้จำหน่ายต้องถูกดำเนินการติดตามจับกุมมาลงโทษตามกฎหมายและขยายผลไปสู่ผู้ค้ารายใหญ่ตลอดจนการลำเลียงขนส่งยาเสพติด เนื่องจาก อ.ศรีเชียงใหม่มีพื้นที่ติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปปล.) จนข้าราชการตำรวจเข้าใจและร่วมกันดำเนินการตามนโยบาย


การดำเนินการได้มอบหมายให้ตำรวจประจำหมู่บ้านและชุดชมส.ฯประสานงานกับกำนันผู้ใหญ่บ้านและบุคคลสำคัญในหมู่บ้าน โดยเฉพาะ เจ้าอาวาสวัดในพื้นที่นั้นๆ จัดแบ่งกำลังออกเป็นชุดปฏิบัติการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดออกเป็น 2 ชุด ชุดที่หนึ่งทำงานในวันคี่ ชุดที่สองทำงานในวันคู่(เพื่อให้กำลังพลได้มีโอกาสได้พักผ่อนวันเว้นวัน) ถือเป็นการปฏิบัติการในเชิงรุก ส่วนท่านอาจารย์เขียวได้อัญเชิญพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” ไปทุกหมู่บ้าน เพื่อตั้งประดิษฐานให้ประชาชนในสถานที่นั้นๆได้กราบไหว้ขอพรในเวลากลางคืนทุกคืน และได้ดำเนินการชี้แจงนโยบายการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด รวมถึงการป้องกันและปราบปรามในพื้นที่นั้นๆอย่างต่อเนื่องทุกวัน และเนื่องจากเมื่อสมัยท่านอาจารย์เขียวมียศเป็นร้อยตำรวจตรี ได้ดำรงตำแหน่งรองสวป.ฯและได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรทสปช.ทุกตำบลทุกหมู่บ้านของอำเภอศรีเชียงใหม่ จนเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2527 ได้รับหนังสือสำคัญยกย่องชมเชย ในฐานะเป็นวิทยากรดีเด่น ของศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติกลาง จากพล.อ. อาทิตย์ กำลังเอก จึงเป็นเหตุให้ได้รับความร่วมมือและมีพี่น้องประชาชนทุกหมู่บ้านเข้าร่วมประชุมรับฟังนโยบาย โดยให้สัจจะเป็นสมาชิกร่วมกันรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดเป็นอย่างดียิ่ง และได้รับการแจ้งข่าว ทำให้สามารถแยกผู้เสพฯ และผู้ค้ารายย่อยได้อย่างชัดเจน(ซึ่งได้ใช้กลยุทธ์ มอบหมายเลขประจำตัวหรือรหัสให้แก่สมาชิกแจ้งข่าว เพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวสมาชิก)



ข่าวและผลการทำงานของท่านอาจารย์เขียวด้านยาเสพติด ได้ทราบถึงผู้บังคับบัญชาของตำรวจและกรมการปกครอง ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลได้มอบหมายให้ส่วนราชการทุกส่วนเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามยาเสพติดจังหวัดหนองคาย ได้ประสานขอตัวท่านอาจารย์เขียวจากผู้บังคับการภูธรจังหวัดหนองคาย ให้ไปทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายอำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัดหนองคายทั้งนี้ตั้งแต่ 28 ธ.ค. 2541



ต่อมาได้มีคำสั่งจากตำรวจภูธรภาค 4 (ขอนแก่น) ลงวันที่ 9 มี.ค. 2542 ให้ท่านอาจารย์(พ.ต.ท.)เขียว ไปช่วยราชการที่ภาค 4 ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่านพล.ต.ท. พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4)ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ท่านฯทำหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องศูนย์ปณิธานใจ เพื่อช่วยดูแลข้าราชการตำรวจที่ไปช่วยราชการอยู่ที่ภาค 4 และร่วมทำหน้าที่เป็นคณะทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดตามโครงการ “แสงเทียน” ของภาค



โครงการแสงเทียนของภาค 4 ซึ่งได้เริ่มฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้เสพยาเสพติด (ผู้เสพเสมือนผู้ป่วย) ผบช.ภ. 4 ได้มอบหมายให้สถานีตำรวจในพื้นที่ 11 จังหวัดในภาคอีสานตอนบนที่มีความพร้อมดำเนินการ โดยเริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541 เป็นต้นมานั้น ได้บรรลุผลเป็นที่น่าพอใจอย่างดียิ่ง ท่านอาจารย์เขียวได้รับมอบหมายให้เดินทางเป็นวิทยากรบำบัดยาเสพติด ตามโครงการแสงเทียน โดยอัญเชิญพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” ประกอบพิธีจิตบำบัดในทุกพื้นที่ เพื่อเป็นการเสริมการบำบัดรักษาตามโครงการแสงเทียนให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ท่านอาจารย์เขียวจึงได้จัดทำโครงการ “แสงเทียนแสงธรรม” โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มแสงเทียน กลุ่มดอกบัว คือกลุ่มที่ผู้เสพยาเสพติดให้โทษได้รับโทษจากศาลให้ถูกกักขังแทนค่าปรับ (ในช่วงนั้นผู้ถูกกักขังแทนค่าปรับ ถูกกักขังที่สถานีตำรวจภูธร) กลุ่มดอกหญ้าคือกลุ่มผู้ติดยาเสพติดให้โทษที่อยู่ตามชุมชนหรือหมู่บ้านต่างๆ กลุ่มพุทธรักษาคือกลุ่มนักเรียน นักศึกษาและกลุ่มดาวโรยคือตำรวจที่ติดสุราและบุหรี่ โดยได้ดำเนินการควบคู่ไปโดยตลอด



ในการดำเนินงานท่านอาจารย์เขียวได้อัญเชิญพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” ประกอบพิธีบำบัดยาเสพติดไปในทุกพื้นที่ภาคอีสาน 11 จังหวัดตอนบนและอำเภอต่างๆ ท่านอาจารย์เขียวได้ศึกษาค้นคว้า ค้นหาพุทธบารมี วิธีการต่างๆในการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดด้วยความวิริยะอุตสาหะ อดทนและเสียสละอย่างต่อเนื่อง จนในบางครั้งมีผู้กล่าวขานหรือแม้แต่ตำรวจด้วยกันเองยังได้กล่าวว่า “รองฯเขียว แกเป็นบ้าไปแล้ว อุ้มพระไปก็อุ้มพระมา” ท่านอาจารย์เขียวก็มิได้ท้อแท้ในการทำความดีเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด เพราะท่านฯมีคติว่า “ขอทำงานใช้หนี้แผ่นดิน ตามอุดมคติของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ทั้งๆที่เป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาชั้นสูงและรัฐบาล ท่านอาจารย์เขียวได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจแม้ว่าเสี่ยงชีวิตและเสี่ยงภัย ขัดขวางขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นการขัดผลประโยชน์กับผู้ค้ารายใหญ่ ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งข้าพเจ้าเอง(นาย10ฬส)ได้รับฟังการบอกเล่า รวมทั้งได้เห็นบันทึกเอกสารการทำงานต่างๆของท่านอาจารย์เขียวแล้ว ได้รับรู้และรู้สึกถึงการเสียสละเป็นอย่างมากของข้าราชการตำรวจอีกท่านหนึ่ง ที่ฝ่าฟันอุปสรรคถึงขั้นเอาชีวิตเข้าเสี่ยง


ตามนสพ.เดลินิวส์วันศุกร์ที่ 4 มิ.ย. 2542 หน้า26 ภูมิภาคได้รายงานผลการทำงานของท่านอาจารย์เขียวจากการรายงานข่าวของคุณสุพจน์ สอนสมนึก สรุปความได้ดังนี้


ดึงกิจกรรมทางศาสนา ช่วยลดเลิกยาเสพติดอีกแนวทางหนึ่งของการปราบปรามที่ได้ผล



ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีผลกระทบไปทั่วประเทศ การช่วยเหลือประชาชนเป็นนโยบาย และมาตรการที่รัฐบาลจะต้องหาทางป้องกันรักษาชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติต่างๆ ตลอดจนบุคคลากรหรือคนที่เป็นทรัพยากรมีค่ายิ่งของประเทศ และเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพยิ่งขึ้นไป เพื่อแนวทางในการพัฒนาที่บรรลุเป้าหมาย


โครงการแสงเทียน หรืออีกนัยหนึ่งเป็นโครงการที่ตำรวจภูธรภาค 4 โดยพล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้ให้เป็นนโยบายแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในภาคที่รับผิดชอบได้จัดขึ้นทุกแห่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการสนองตอบนโยบาย


ในการทำงานครั้งนั้นพ.ต.อ.มานะ ขจรเวช ผกก.เมืองสกลนครได้กล่าวว่า “โครงการแสงเทียนได้ขยายงานโครงการลงมาเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เรียกว่ากลุ่มดอกบัว ได้ติดต่อท่านอาจารย์เขียวมาดำเนินการโดยอัญเชิญพระชัยบารมีมาเป็นองค์ประธานในการทำจิตบำบัดยาเสพติด เมื่อเสร็จพิธีกรรมแล้ว ท่านอาจารย์เขียวได้นำบุหรี่(ซึ่งเป็นตัวเชื่อมสิ่งเสพติด)มาให้ทุกคนได้สูบตามความสมัครใจ ปรากฏว่าผู้รับการบำบัดทั้งหมด 32 รายสมัครใจยินดีขอสูบบุหรี่พร้อมกับภาวนาไปด้วย และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อผู้ป่วยทั้งหมดสูบบุหรี่เข้าไปได้ครึ่งมวนเท่านั้น ทุกคนอาเจียนและรากแตกกันแทบทุกคน (โดยทางสภ.อ.เมืองสกลนครเป็นผู้จัดหาบุหรี่ซึ่งได้ซื้อมาจากร้านค้าแถวนั้นโดยไม่ได้เปิดซองมาก่อน) น้ำหูน้ำตาไหลพรากออกมา ทำให้เป็นที่งุนงงแก่ผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ และผู้ต้องการเลิกทั้ง 32 รายของสภ.อ.เมืองสกลนครเป็นอย่างยิ่ง


คุณสุพจน์ได้กล่าวไว้ในบทความตอนท้ายว่า “ใครไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้อย่าลบหลู่ ถ้าต้องการเห็นด้วยตาตนเอง ก็หาดูได้จากโปรแกรมดินสายรักษาบำบัดของท่านอาจารย์เขียว ตามโครงการแสงเทียนแสงธรรม”
คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยาย
อีกกรณีหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์เขียวได้เดินทางไปสภ.อ.เมืองนครพนม ได้ทำพิธีการเหมือนกันทุกแห่งที่ผ่านมา หลังจากจบโครงการบำบัดยาเสพติดครั้งนั้นแล้ว ได้มีจดหมายจากตัวแทนผู้บำบัดลงวันที่ 1 มิ.ย. 2542 ข้าพเจ้านาย10ฬสได้เห็นเอกสารบันทึกอ้างอิงดังกล่าวแล้ว แต่ขอสงวนนามของเจ้าของจดหมายฉบับนี้ไว้ รายละเอียดดังนี้...

ส่ง พ.ต.ท. เขียว บารมี
สถานีตำรวจภูธรภาค 4
จ.ขอนแก่น

สภ.อ.เมืองนครพนม

วันที่ 1 มิถุนายน 2542


กราบเรียนท่านอาจารย์เขียวที่เคารพรักและนับถือ กระผม............... ในนามตัวแทนผู้ต้องขังสภ.อ.เมืองนครพนมมีเรื่องที่จะกราบเรียนท่านอาจารย์เขียว บารมี ขณะนี้พวกเราชาวผู้ต้องขังทุกคนได้ทำภารกิจตามที่ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้ พวกกระผมทำ นั่งภาวนาขอพรพระชัยบารมีเลิกสูบบุหรี่กัญชา หรือยาเสพติดทุกประเภท ตามคำอธิษฐานของแต่ละคนนั้น ได้ผลดีนักแล พวกเราภูมิใจที่เลิกยาเสพติดได้ ตอนนี้บางคนก็พ้นโทษออกไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็ไม่กี่คน แต่พวกเรายังกระทำอยู่ทุกวัน พวกเราให้สัญญาว่า จะไม่หวนกลับไปเสพมันอีก พวกเราชาวผู้ต้องขังทุกคน ยังรักและคิดถึงท่านอาจารย์อยู่เสมอ



สุดท้ายนี้กระผมขออวยพร ให้ท่านอาจารย์จงมีความสุขความเจริญต่อไป


จาก.......................
ตัวแทนผู้ต้องกักขังสภ.อ.เมืองนครพนม


จากบันทึกเอกสารรายการตรวจเยี่ยมศูนย์ปณิธานใจ ตำรวจภูธรภาค 4
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2542 เวลา 10.00 น. มีขัอความดังต่อไปนี้

วันนี้ผมได้นำลูกน้อง 4 คนมารับการบำบัดรักษากับท่านรองผู้กำกับ ในการรักษาโรคพิษสุราเรื้อรัง รู้สึกประทับใจ มีความยินดี ขอสนับสนุนโครงการนี้ ขอขอบคุณยิ่ง

                                                                                      ..............................
                                                                                      ผอ.รพศ.ขอนแก่น

โปรดติดตามตอนต่อไป...

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นางกัลยารัตน์ แซ่เอี๊ยบ กับประสบการณ์สมาธิจิตบำบัด หายจากโรคเบาหวาน, โรคเส้นเลือดในสมองตีบ และอัมพฤกษ์

ข้าพเจ้านางกัลยารัตน์ แซ่เอี๊ยบ เกิดวันที่ 31 ต.ค. 2488 อายุ 64 ปี อยู่บ้่นเลขที่ 97/7 หมู่3 อ่อนนุช 41 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม.10250 ก่อนเข้ารับการทำสมาธิจิตบำบัด มีอาการปวดหัวด้านซ้าย มือและเท้าด้านขวาอ่อนแรง คล้ายเป็นอัมพฤกษ์ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านประมาณปี2549 แพทย์แจ้งว่าเป็นโรคเบาหวานและโรคเส้นเลือดในสมองตีบ เป็นเหตุให้มีความดันสูงและปวดหัว เป็นอัมพฤกษ์ในช่วงเริ่มต้น แพทย์ที่รักษาก็ให้ยามาทานจำนวนมาก รักษาอยู่หลายเดือนอาการกลับทรุดลงคือ มือและเท้าซีกขวาเกิดอาการชามากยิ่งขึ้น เกือบไม่ความรู้สึก จึงได้ย้ายไปรักษามี่โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งชำนาญเกี่ยวกับระบบปราสาทโดยเฉพาะ แพทย์ก็ให้ยามาทานอีกจำนวนมากอีก แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีอาการเส้นตึงที่คอด้านซ้ายและบริเวณไหล่ซ้าย เลยไปให้หมอนวดจับเส้นให้ ปรากฏว่าอาการเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก คือปวดบริเวณทั้งสองแห่งนั้นอย่างมาก มีอาการตึงมากๆขยับคอไม่ได้เลย เจ็บและทรมานมาก พอดีลูกสาวทราบข่าวจากเพื่อนแนะนำให้มาหาอาจารย์เขียว บารมี ก็เลยตัดสินใจมาเข้ารับการทำสทาธิบำบัดเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2552 และหยุดทานยาของโรงพยาบาลตั้งแต่วันนั้นทันที วันที่ 18 มิ.ย. 2552 ได้เดินทางไปรับการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล แพทย์แจ้งว่า ความดันอยู่ในระดับปกติ ระดับน้ำตาลก็ปกติ ส่วนแขนขาเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ไม่มีอาการปวดหัวปวดคออีกเลย


ข้าพเจ้าจึงยินดีเปิดเผยเพื่อเป็นวิทยาทานแก่ท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่า ยังมีผู้ที่ประสพทุกข์ในสภาพเช่นเดียวกับข้าพเจ้าอยู่อีกมาก เพื่อที่ท่านเหล่านั้นจะได้มีทางเลือก ในการดูแลสุขภาพของตนเองให้เป็นปกติสุข กรุณาติดต่อโดยตรงที่ท่านอาจารย์เขียว บารมี โทร 08-1836-7787 ข้าพเจ้าขอน้อมกราบพระชัยบารมี ท่านอาจารย์ยม และท่านอาจารย์เขียว ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง...

กัลยารัตน์ แซ่เอี๊ยบ รายงาน

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อำไพ เอกจีน ทำสมาธิจิตบำบัด หายจากโรครูมาตอย, โรคไต

ดิฉันชื่อ อำไพ เอกจีน เกิดวันศุกร์ เดือน4 (เม.ย) 2496(ปีมะเส็ง) เคยป่วยเป็นรูมาตอย จะเจ็บตามข้อ และโรคไต ที่ต้องได้รับการฟอกไตอยู่เป็นประจำ ขณะที่มาเข้าคอร์สวันแรก มีอาการปวดหัว มึนงงอยู่ตลอดเวลา จำอะไรไม่ค่อยได้ สนทนากันอยู่สักพักก็ลืมไปแล้วว่ากำลังคุยเรื่องอะไร คล้ายความจำสั้น กลับบ้านแล้วก็ลืม วันแรกผ่านไปแล้ว วันที่2 ยังลืมว่าต้องมาทำสมาธิจิตบำบัด แต่ก็ยังโชคดีที่ดิฉันมีกัลยาณมิตรที่มาทำสมาธิจิตบำบัดด้วยกันคอยช่วยเหลือเอาใจใส่ 3วันผ่านไปมีความจำดีขึ้นมาก อาการปวดตามข้อต่างๆก็เริ่มทุเลาลง ทำให้มีกำลังใจดีมาก ได้มาปฏิบัติสมาธิจิตบำบัดอย่างต่อเนื่อง ได้รับการบำบัดด้วยการอยู่ไฟแบบโบราณ ทำให้อวัยวะต่างๆของร่างกายดิฉันกระชับขึ้น น้ำหนักตัวก็ลดลงทำให้เดินเหินคล่องตัว ไม่ต้องให้คนพยุงเหมือนวันแรกที่มา ปัจจุบันร่างกายเป็นปกติ อาการต่างๆเช่น ปวดหัว มึนงง ปวดตามข้อต่างๆหายไป สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่หลงลืม เป็นเพราะบารมีของพระชัยบารมี ท่านอาจารย์ยม และท่านอาจารย์เขียว ดิฉันจึงมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีมาก

อำไพ เอกจีน รายงาน