วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

ประวัติพระชัยบารมี ตอนที่ 4 เจ้าพ่อกุดป่อง แห่งเมืองเลย


ข่าวการได้รับพระพุทธรูปทองคำ พระชัยบารมี ได้แพร่สะพัดเป็นที่กล่าวขานทั่วจังหวัดหนองคาย และทุกวงการ ได้มีผู้มีจิตศรัทธาไปขอกราบไหว้ที่บ้านพักอำเภอศรีเชียงใหม่ เป็นเนืองนิตย์ เช่นคณะเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจากจังหวัดหนองคาย หัวหน้าส่วนราชการจากศาลากลางจังหวัดหนองคาย(ศาลากลางหลังเก่า) และเจ้าหน้าที่ข้าราชการ พ่อค้าประชาชนที่รู้จัก รวมทั้งพี่น้องชาวอำเภอศรีเชียงใหม่

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ท่านอาจารย์เขียวได้ประสานกับท่านกำนันตุ๊(ท่านส.จ.เสถียร มีบุญ สมาชิกสภาจังหวัดหนองคาย) และท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดช้างเผือก เจ้าคณะอำเภอศรีเชียงใหม่ ได้จัดสถานที่ลานวัดข้างพระอุโบสถวัดช้างเผือกในตอนเย็น เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้ "พระชัยบารมี" วันดังกล่าวมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากได้เข้ามาประกอบพิธีและกราบไหว้พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต่อมา น.ส.พ.ไทยรัฐปีที่ 49 ฉบับที่ 14758 วันพฤหัสบดี 18 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ได้ลงข่าว "พระชัยบารมี" และภาพถ่ายของพุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธามากราบไหว้ในวันดังกล่าวไว้ที่หน้าหลัง(แผ่นสุดท้าย)ครึ่งหน้า จึงเป็นการเปิดบารมีของพระชัยบารมีให้ไปทุกสารทิศ เป็นเหตุให้มีผู้สนใจอย่างมาก

ในวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เวลา 09:30 น. ท่านอาจารย์เขียวได้ลาราชการหยุดพักผ่อน 7 วันแล้วได้อัญเชิญพระชัยบารมีไปจังหวัดเลย พักที่เมืองเลยรีสอร์ทของน้องชายที่นับถือกันชื่อ ขงเบ้ง ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการ  พักอยู่ตลอด 7 วัน ระหว่างที่พักนี้ก็มีผู้มีจิตศรัทธาที่รู้จักกับขงเบ้ง มากราบไหว้ขอพรกันทุกวัน วันหนึ่งมีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ขณะก้มกราบพระชัยบารมี เสร็จแล้ว เธอได้บอกกับท่านอาจารย์เขียวว่า "รู้สึกปวดศีรษะอย่างมาก" ท่านอาจารย์เขียวจึงได้อธิษฐานขออนุญาตถ่ายบารมีความดีของพระชัยบารมีให้กับเธอ ด้วยการที่ท่านอาจารย์เขียวใช้มือขวาจับพระหัตถ์ของพระชัยบารมี แล้วใช้มือซ้ายแตะที่ศีรษะของเธอ ทันใดนั้นเธอก็ได้ล้มตัวนอนหมดสติทันที ต่อหน้าพระชัยบารมีและต่อหน้าทุกคนที่มากราบไหว้ในวันนั้น ท่านอาจารย์เขียว ขงเบ้งและคนอื่นๆต่างตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก น่าจะประมาณสัก 3 นาทีแล้ว ท่านอาจารย์เขียวจึงตัดสินใจให้จัดเตรียมรถ ไว้ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้นำส่งโรงพยาบาล ขณะที่กำลังเตรียมตัวช่วยกันจะอุ้มเธอเพื่อขึ้นรถ เธอก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา ตัวเธอเองก็มึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอก็ได้กราบลาพระชัยบารมีเพื่อกลับบ้านทันที นอกจากนี้ก็มีญาติธรรมตามไปส่งอีกหลายคน สักประมาณ 3 ช.ม. ญาติธรรมที่ไปส่งก็ได้กลับมาเล่าให้ฟังว่า "สุภาพสตรีท่านนั้นเป็นสังขารเทียบ(ร่าง)ของเจ้าพ่อกุดป่อง เป็นภูมิที่ปกปักรักษาอยู่ ณ ตัวจังหวัดเลย มีลูกหลานนับถือจำนวนมาก เมื่อไปถึงบ้านของเธอแล้ว เธอได้จุดธูปเทียนบูชาครูบาอาจารย์ของเธอ แล้วอัญเชิญเจ้าพ่อกุดป่องเข้าสังขาร เพื่อสอบถามความถูกต้องและความเป็นมา" ญาติธรรมได้เล่าต่อว่า  เจ้าพ่อกุดป่องได้พูดว่า พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก และเป็นพระพุทธรูปที่สูงส่ง บารมีพระองค์ท่านเสด็จจากเบื้องบนลงสู่โลกมนุษย์ ชาวมนุษย์โลกผู้ใดอยากได้อะไร ให้ไปกราบไหว้ขอพรจากท่าน แล้วจะได้สมความปรารถนาทุกประการ เลิกยาเสพติด และบำบัดโรคภัยไข้เจ็บดีนักแล

วันรุ่งขึ้นขงเบ้งชวนท่านอาจารย์เขียวไปเมืองเลย เพื่อไปเยี่ยมสุภาพสตรีท่านนั้น พอไปถึงเธอได้พูดขึ้นทันทีว่า ฝ่ามือของ อาจารย์เขียว เหมือนมีพลังงานไฟฟ้าสูงมาก พอจับถูกตัว ก็ช็อตสังขารของข้าพเจ้าล้มลงทันที ท่านอาจารย์เขียวได้สอบถามเธอว่า "อาการขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง" เธอตอบว่า สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี และเหมือนได้รับพลังเพิ่มมากขึ้น.... 

ประวัติพระชัยบารมี ตอนที่ 3 วันมหาพุทธาภิเษกองค์จำลองหลวงพ่อพระใส รุ่นกระเบื้องหลังคาโบสถ์


ต่อมาวันรุ่งขึ้นตรงกับวันที่ 28 มีนาคม 2541 เป็นวันประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกองค์จำลองหลวงพ่อพระใส และวัตถุมงคลรุ่น "กระเบื้องหลังคาโบสถ์" ท่านอาจารย์เขียวได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวไปประดิษฐานที่ด้านล่างมุมขวาของหลวงพ่อพระใส เพื่อร่วมรับพระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพและพระสังฆานุภาพจากการพุทธาภิเษกในครั้งนี้ด้วย และท่านอาจารย์เขียวได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรประชาสัมพันธ์ฝ่ายฆราวาสในงานครั้งนี้ตามคำสั่งตั้งแต่เช้าเป็นต้นไป ตอนบ่ายวันเดียวกัน ขณะที่ท่านอาจารย์เขียวอยู่ในพระอุโบสถ(หลวงพ่อพระใส)นั้น ได้รับโทรศัพท์จากท่านพ.ต.อ.(ยศในขณะนั้น)สรศักดิ์ เย็นเปรม ผู้กำกับการตำรวจภูธร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย แจ้งว่า "ผมขอแสดงความยินดีและดีใจกับพี่เขียว เพราะได้มีคำสั่งแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งให้พี่เขียวขึ้นเป็นรองผู้กำกับการป้องกันและปราบปราม สภ.อ. ศรีเชียงใหม่แล้วครับ"

ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งตรงกับที่หลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสวัดหนองบัวเงินได้บอกไว้ก่อนแล้วว่า "ถ้าได้รับพระพุทธรูปไปแล้ว ก็จะได้เลื่อนตำแหน่งภายใน 7 วันนี้" แต่นี่เร็วมาก ภายใน 3 วันเท่านั้นเอง


ต่อมาเช้าวันที่ 30 มีนาคม 2541 ได้อัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานที่สภ.ต.เวียงคุก อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เพื่อให้ข้าราชการตำรวจทุกท่านและครอบครัวได้กราบไหว้ขอพร เพื่อเป็นสิริมงคล (ดังภาพถ่ายด้านบน)


เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2541 ท่านอาจารย์เขียวได้อัญเชิญพระพุทธรูปพร้อมเดินทางจากสภ.ต.เวียงคุกไปรับตำแหน่งที่สภ.อ.ศรีเชียงใหม่ ได้มีข้าราชการตำรวจและครอบครัวบางส่วนของสภ.ต.เวียงคุก ร่วมเดินทางไปส่ง วันนั้นปรากฏว่าท้องฟ้ามีแต่เมฆมืดครึ้มไปตลอดทาง จนถึงสภ.อ.ศรีเชียงใหม่ ทั้งๆที่ก่อนออกเดินทางมีแสงแดดจ้า

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 6 เมษายน 2541 ท่านอาจารย์เขียวได้เข้าไปรายงานตัวต่อท่านนายอำเภอศรีเชียงใหม่พร้อมกับได้นำหลักฐานการขอเปลี่ยนชื่อจากเดิม พ.ต.ท.จิระ เป็น พ.ต.ท.เขียว สาเหตุที่เปลี่ยนเพราะ
  1. เพื่อเป็นสิริมงคล เพราะได้อธิษฐานไว้กับพระพุทธรูปซึ่งได้ถวายนามท่านว่า พระชัยบารมี
  2. เพราะทุกๆคนจำชื่อเดิม ของท่านอาจารย์เขียวไม่ได้ เรียกแต่เขียว สางเขียว หรือ อาจารย์เขียว 
แล้วได้ส่งหลักฐานการเปลี่ยนชื่อตามระเบียบ จนเป็นที่กล่าวขานในวงการผู้บังคับบัญชาทุกส่วนราชการ รวมถึงท่านพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และท่านพล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูรณ์ (ขออภัยที่เอ่ยนามของท่านทั้งสอง)



ประวัติพระชัยบารมี ตอนที่ 2 ถอดรักแดงที่หุ้มองค์พระ



วันรุ่งขึ้นตอนเช้า (วันที่ 27 มีนาคม 2541) ท่านอาจารย์เขียวได้เข้าไปติดต่อราชการที่กก.ภ.จว.หนองคาย ได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวไปด้วย เมื่อเสร็จภาระกิจติดต่อราชการแล้ว จึงได้เลยต่อไปที่วัดโพธิ์ชัย เพื่อไปช่วยงาน และได้อัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวไปที่หน้าวัดด้วย ซึ่งบริเวณนั้นเป็นแผงพระพระเครื่อง ท่านอาจารย์เขียวได้สอบถามเจ้าของแผงพระว่าถ้าต้องการเอาชาดสีแดงและทองเปลวที่ปิดองค์พระออก เพราะมองไปที่พระพักตร์ของพระพุทธรูป เหมือนมีคราบน้ำตาทั้ง 2 ข้าง (คล้ายพระร้องไห้) เจ้าของแผงพระหลายๆคนแถวนั้น เช่น หมูพระเครื่องหนองคาย ฯลฯ เข้ามาดูกันแล้วตอบว่า ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ แต่ต้องขอเงินไปซื้อน้ำยามาล้างออก ท่านอาจารย์เขียวจึงได้มอบเงินไปให้ 500 บาทและมีผู้ต้องการร่วมสมทบทำบุญจัดหาวัสดุต่างๆเช่น มะขามเปียกเพื่อชำระร้าง ผ้าขาวสำหรับเช็ดองค์พระเป็นต้น หลังจากนั้นท่านอาจารย์เขียวรู้สึกตัวว่าง่วงมาก คล้ายว่าตัวท่านเองจะเป็นหวัดด้วย จึงได้กินยาแก้หวัด แล้วนั่งพักผ่อนที่หน้าวัดบริเวณนั้น แล้วหลับไปจนถึงเย็น สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงคนหลายคน เจ้าของแผงพระและเซียนพระพูดคุยกัน ได้ยินว่า พระองค์นี้เป็นพระทองคำ มีเนื้อทองผสมมาก ท่านอาจารย์เขียวจึงได้มองดูที่องค์พระ เห็นว่าเป็นสีเหลืองอร่ามสดใส แล้วหลายคนก็ร่วมกันสรงน้ำพระเสร็จแล้ว  ในช่วงนั้นมีคนถีบรถสามล้อรับจ้างมาจอดด้านข้างแผงพระนั้น ได้กล่าววาจาทำนองลบหลู่ ท่านอาจารย์เขียวจึงได้พูดขึ้นว่า “เฮ้ย! ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่” ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดัง ตูม!!! สนั่นหวั่นไหว ทุกคนหันไปดูทางที่มาของเสียง ปรากฏว่าเป็นเสียงที่เกิดจากยางรถสามล้อถีบคันนั้นระเบิด แล้วมีเสียงอุทานดังมาจากกลุ่มคนที่ล้างพระและมุงดูว่า “กู..ว่า..แล้ววว!!!”

จากนั้น ท่านอาจารย์เขียวได้อุ้มอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าว เข้าไปในพระอุโบสถวางไว้ต่อหน้าหลวงพ่อพระใส แล้วกราบนิมนต์พระสงฆ์และพระคุณเจ้าที่อยู่ที่นั่นเพื่อเบิกเนตรพระพุทธรูปที่ได้มาใหม่ ตามความเชื่อของหลายๆคน เสร็จแล้วท่านอาจารย์เขียวจึงได้โทรศัพท์แจ้งไปยังหลวงพ่อพิชัย ที่วัดหนองบัวเงินว่า พระพุทธรูปที่รับไปเมื่อวานนี้ ได้ล้างเอาสีแดงชาดออกแล้ว สวยสุกใสเหมือนทองคำ หลวงพ่อบอกว่า ให้อุ้มมาให้ดูหน่อย ท่านอาจารย์เขียวจึงได้อัญเชิญกลับไปที่วัดหนองบัวเงิน แล้วได้กล่าวถวายคืนพระพุทธรูป หลวงพ่อตอบว่า อาตมาให้แล้ว ไม่คืนคำ จึงไม่ขอรับคืน และได้ชมว่า พระสวยสง่างาม พร้อมกับหลวงพ่อได้อธิษฐานยกพระเสี่ยงทายว่า พระพุทธรูปองค์นี้จะไปอยู่กับท่านอาจารย์เขียวตลอดไปจริงมั้ย  โดยขอให้องค์พระหนักยกจนไม่ขึ้น ปรากฏว่ายกไม่ขึ้น หลวงพ่ออธิบายว่า "พระพุทธรูปองค์นี้ท่านต้องการมาอยู่กับโยมเขียว เพื่อไปสร้างงาน สร้างบารมี และประทานพรให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ" ซึ่งในตอนนั้นท่านอาจารย์เขียวยังไม่ทราบว่าจะเป็นงานเรื่องอะไรบ้าง

ประวัติพระชัยบารมี ตอนที่ 1 รับพระ



ขณะเมื่อท่านอาจารย์ พ.ต.ท.เขียว บารมี (อาจารย์เขียว) ดำรงตำแหน่งสารวัตรหัวหน้าสถานีตำรวจภูธร ตำบลเวียงคุก อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ได้รับคำสั่งจากศูนย์ปฏิบัติการลูกเสือชาวบ้าน อ.เมือง ให้ไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการฝึกลูกเสือชาวบ้าน ณ โรงเรียนบ้านหนองกอมเกาะ ตำบลหนองกอมเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย เมื่อเสร็จจากพิธีการบายศรีสู่ขวัญในคืนนั้น มีพระจันทร์ทรงกลด อยู่กึ่งกลางศีรษะ คืนนั้นท่านอาจารย์เขียวนอนหลับ ได้ฝันว่า ท่านอาจารย์เขียวได้กราบบูชาพระพุทธรูปทองคำหน้าตัก 9 นิ้ว และมีความรู้สึกด้วยว่า ท่านได้เป็นเจ้าของพระพุทธรูปองค์นั้นวันรุ่งขึ้นเป็นวันปิดค่ายจบการอบรม ท่านอาจารย์เขียวได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์ ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองบัวเงิน บ้านหนองบัวเงิน กิ่งอำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ได้เล่าเรื่องความฝันให้พระท่านฟัง พระอาจารย์ได้พูดว่า จะเป็นความจริง ไม่เกิน 7 วันหรอกโยมเขียว ท่านอาจารย์เขียวจึงได้ย้อนถามว่า แล้วจะได้มาจากไหน (ขณะนั้นความโลภเกิดขึ้น อยากได้พระทองคำ)พระคุณเจ้า ตอบว่า จะได้จากฝั่งลาว

ต่อมาวันที่ 26 มีนาคม 2541  ท่านอาจารย์เขียวได้ไปที่วัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวงที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส และได้เข้าไปกราบ พร้อมกับเข้าไปพบคณะกรรมการวัด เนื่องจากท่านอาจารย์เขียวได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการประชาสัมพันธ์ ของวัดโพธิ์ชัย เพื่อเตรียมประกอบพิธีปลุกเสกพระพุทธรูปและวัตถุมงคลของหลวงพ่อพระใส รุ่นกระเบื้องหลังคาโบสถ์แล้วได้เลยกลับไปที่วัดหนองบัวเงิน เพื่อไปกราบนมัสการและสนทนากับพระอาจารย์ท่านเจ้าอาวาสในเย็นวันนั้น และได้เห็นพระพุทธรูปทรงเครื่ององค์หนึ่งลงชาด(สีแดง)ปิดด้วยทองเปลวไว้ อยู่บนโต๊ะบูชาในห้องของพระท่าน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ท่านอาจารย์เขียวได้เห็นพระพุทธรูปองค์นี้ ได้พูดกับหลวงพ่อตามความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้นว่า พระองค์นี้เหมือนยังกับพระลิเกเลยหลวงพ่อท่านได้บอกว่า ให้อุ้มพระองค์นี้ลงจากโต๊ะบูชา ไปใส่รถเอากลับบ้านไปนะ อาตมายกให้ เมื่อท่านอาจารย์เขียวได้เข้าไปยกพระพุทธรูปแล้วท่านอาจารย์เขียวรู้สึกตกใจเพราะ พระหนักมาก ท่านอาจารย์เขียวไม่คิดว่าจะเป็นโลหะ ท่านฯเลยตอบหลวงพ่อไปว่า ผมไม่ขอรับครับ เพราะเป็นพระที่ประจำอยู่ที่วัดวาอาราม เป็นสมบัติของสงฆ์ หลวงพ่อตอบว่า เป็นพระส่วนตัวของอาตมาเอง ลูกศิษย์เขาเอามามอบถวายให้ อาตมาเห็นว่าน่าจะเป็นพระคู่บุญคู่บารมีของโยมเขียว แต่ถ้าไม่รับพระองค์นี้ไป ตำแหน่งตำรวจก็จะไม่ได้เลื่อน และไม่ต้องมาที่นี่อีกด้วยความกลัวที่จะไม่ได้เข้ามาวัด และยังมีความโลภเรื่องเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้กำกับฯ เลยไม่กล้าขัดใจหลวงพ่อท่าน จึงได้กราบนิมนต์รับพระพุทธรูปซึ่งในขณะนั้นเรียกว่า พระลิเกกลับบ้านพัก สารวัตรหัวหน้า(สว.หน.) ที่สถานีตำรวจภูธรตำบล(สภ.ต.) เวียงคุก