ตอน ถูกรุมต่อว่าและตำหนิ
การดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นไปตามโลกธรรมแปด มีลาภก็มีเสื่อมลาภ มียศก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา มีสุขก็มีทุกข์ ท่านอาจารย์เขียวก็ไม่มียกเว้น ท่านได้เล่าเรื่องที่ท่านเคยโดนตำหนิให้ข้าพเจ้าฟัง ดังนี้ว่า...
ครั้งหนึ่งราวปี2543 เมื่อได้รับเชิญให้ไปทำโครงการ “สร้างภูมิคุ้มกันต้านยาเสพติด” จากผู้อำนวยการโรงเรียนหนองหิ้งพิทยา หมู่ที่ 16 ถนนเซกา-บ้านแพง ตำบลท่ากกแดง อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย 43150 เริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า 9.00 น ถึง 12.00 น. และช่วงบ่ายเริ่ม 13.00 น.ถึง 16.00 น. มีนักเรียนมัธยมเข้าโครงการทั้งหมดทั้งโรงเรียน เมื่อเสร็จดำเนินการช่วงเช้าแล้ว จึงได้ให้นักเรียนพักเที่ยงเพื่อรับประทานอาหาร แต่มีนักเรียนหญิงหนึ่งรายไม่สามารถลุกขึ้นมารับประทานอาหารได้ ไม่สามารถขยับร่างกาย มีอาการตัวแข็ง ท่านอาจารย์เขียวได้แจ้งให้คณะครูอาจารย์และเพื่อนนักเรียนของนักเรียนหญิงผู้นั้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะบารมีของปู่พระชัยบารมี ท่านกำลังบำบัดให้ เด็กคนนี้น่าจะมีโรคร้ายแรง” ท่านอาจารย์เขียวจึงได้สอบถามครูประจำชั้น ก็ได้รับการตอบยืนยันว่า “จริง” เป็นโรคโลหิตจาง และความดันต่ำ เคยเข้าไปที่ธนาคาร เมื่อเด็กนักเรียนผู้นี้กระทบความเย็น ถึงกับเป็นลมและช็อคไป
ครั้นตอน 13.00 น. ก็เริ่มพิธีการตามโครงการต่อจนถึงเวลา 16.00 น. แล้วเลิก นักเรียนแยกย้ายกันกลับบ้าน สำหรับเด็กนักเรียนหญิงรายดังกล่าว ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ ท่านอาจารย์เขียวก็ได้ชี้แจงให้คณะครูอาจารย์โดยวิธีการสอบถามเด็กนักเรียนหญิง ซึ่งยังนอนหลับตาอยู่ และลุกไม่ขึ้นในขณะนั้นดังนี้
อาจารย์เขียวถาม “หนูได้ยินเสียงและรู้สึกตัวหรือไม่ ให้ตอบโดยการพยักหน้า” เด็กก็พยักหน้าตอบ
อาจารย์เขียวถาม “หนูหิวข้าวหรือไม่” เด็กตอบโดยการส่ายหน้าไปมาหลายครั้ง ซึ่งหมายถึงไม่หิว
อาจารย์เขียวถาม “หนูต้องการบำบัดต่อให้หายหรือไม่” เด็กพยักหน้าหลายครั้ง ซึ่งหมายถึงเธอต้องการรักษาต่อให้หาย
ท่านอาจารย์เขียวได้พูดกับเธอต่อไปว่า “อนุญาตให้ออกเสียงได้ โดยไม่ต้องลืมตา” เด็กก็ตอบว่า “ต้องการค่ะ”
คณะครูอาจารย์และเพื่อนนักเรียนที่เฝ้าอยู่เข้าใจและดีใจที่เธอพูดออกมาได้ ในขณะนั้นร่างกายของเธอเริ่มมีเหงื่อออก ขณะเดียวกัน เพื่อนของนักเรียนหญิงได้ไปแจ้งแก่แม่ของเธอว่า ลูกสาวของแม่ยังไม่เสร็จ นอนทั้งวันเลย... เกือบค่ำแล้วแม่ของเธอเป็นห่วงจึงได้เดินทางมาที่โรงเรียนพร้อมกับลูกสาวอีกคน ซึ่งเป็นพี่สาวของเธอ ทั้งสองคนมองเห็นเธอนอนอยู่อย่างนั้น ยังมิได้ทันได้สอบถามอะไร ก็ได้เริ่มต่อว่าท่านอาจารย์เขียวทันทีว่า “ทำไมลูกสาวของฉันจึงเป็นแบบนี้ ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน...(ขอสงวน)...” ท่านอาจารย์เขียวยังไม่ทันได้กล่าวตอบ พอดีนักเรียนหญิงคนนั้นก็ได้ลุกขึ้นและอธิบายให้แม่และพี่สาวฟังว่า “หนูป่วยมานานแล้วแม่และพี่ก็รู้ดี”
เธอพูดต่อ “ที่ใครๆพูดและตำหนิอาจารย์เขียว หนูได้ยินหมด แต่ไม่สามารถพูดและลืมตาได้ เพราะปู่พระชัยบารมีกำลังบำบัดโรคให้” เธอกล่าวต่ออีกว่า “ตั้งแต่เที่ยงจนกระทั่งเวลานี้ หนูยังไม่รู้สึกหิวเลย อาการที่หนูป่วย รู้สึกว่าน่าจะหายแล้ว เพราะขณะที่หนูนอนอยู่นั้น คล้ายเหมือนถูกผ่าตัดภายในร่างกาย มีอาการชาไปที่บริเวณท้องและร่างกาย แต่ไม่รู้สึกเจ็บ ปกติหนูไม่ค่อยมีเหงื่อ แต่ขณะนี้มีเหงื่อออกมากซึมออกมามากเปียกเสื้อผ้าหมด” ซึ่งทุกคนก็เห็น เธอกล่าวต่อไปว่า “ขอให้แม่และพี่(สาว)ขอขมาโทษต่ออาจารย์เขียวและขอบคุณผู้อำนวยการกับคณะครูอาจารย์ที่ให้มีกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งเหมือนชุบชีวิตใหม่ให้หนู หนูไม่มีอาการเจ็บอีกแล้ว” พอเธอพูดจบ ทั้งแม่และพี่สาวของเธอได้กล่าวขอขมาต่อพระพุทธรูป “พระชัยบารมี” กล่าวคำขอโทษและกล่าวคำขอบคุณท่านอาจารย์เขียว ผู้อำนวยการและคณะครูอาจารย์ก่อนจะพาเธอกลับบ้าน
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น